วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

วรรณคดีไทยที่ข้าพเจ้าสนใจ

 

            วรรณคดีไทยนั่นมีอยู่มากมายหลายเรื่อง แต่งขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย ส่วนวรรณคดีที่ข้าพเจ้าได้อ่านแล้วรู้สึกชอบ และเป็นคติสอนใจได้ คงเป็นเรื่องมัทนะพาธา ซึ่งเป็นตำนานของดอกกุหลาบ จึงยกวรรณคดีเรื่องนี้มาให้ทุกคนได้รู้จัก

                               มัทนะพาธา






             มัทนะพาธา เป็นบทละครพูดคำฉันท์ 5 องก์ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นทั้งหมดด้วยพระองค์เองโดยไม่ได้อิงเนื้อหามาจากที่อื่น ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งเริ่มและจบลงในปี พ.ศ. 2466 เล่าเรื่องว่าด้วยตำนานเกี่ยวกับดอกกุหลาบ และความเจ็บปวดจากความรัก
มัทนะพาธา เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในด้านเป็นยอดบทละครพูดคำฉันท์และยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ประเภทบันเทิงคดีอีกด้วย
ชื่อมัทนะพาธา
"มัทนพาธา" มาจากคำสันสกฤต "มทนพาธา" ที่มีความหมายคือความเจ็บหรือเดือนร้อนจากความรัก ซึ่งชื่อนี้ก็ได้พ้องกับชื่อของนางเอก "มัทนา" ซึ่งมีความหมายว่าความลุ่มหลงหรือความรัก
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องแบ่งเป็นสองภาค คือภาคสวรรค์ และภาคพื้นดิน
         ภาคสวรรค์ - กล่าวถึงสุเทษณ์เทพบุตร ซึ่งในอดีตชาตินั้นคือกษัตริย์แคว้นปัญจาล และนางมัทนา ซึ่งในอดีตชาติเป็นราชธิดาในกษัตริย์แคว้นสุราษฎร์ ซึ่งทั้งคู่ได้มาเกิดใหม่บนสวรรค์ สุเทษณ์เทพบุตรใฝ่ปองรักนางฟ้ามัทนา แต่ก็ไม่อาจจะสมรักด้วยกรรมที่เคยทำมาแต่อดีต ทำให้ไร้ซึ่งความสุขอย่างยิ่ง สุเทษณ์เทพบุตร จึงได้ให้วิทยาธรนามว่า "มายาวิน" ใช้เวทมนตร์คาถาไปสะกดเอานางมัทนาเข้ามาหา ก่อนที่มายาวินจะใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนา ได้ทูลสุเทษณ์เทพบุตรว่า การที่พระองค์ไม่อาจจะสมรักกับมัทนาได้ เป็นเพราะเมื่อชาติปางก่อน เมื่อพระองค์เป็นกษัตริย์แคว้นปัญจาลนั้น พระองค์ได้ไปสู่ขอมัทนาจากกษัตริย์แคว้นสุราษฎร์ผู้เป็นพระราชบิดา แต่ท้าวสุราษฎร์ไม่ให้ จึงเกิดรบกันขึ้น ในที่สุดท้าวสุเทษณ์แห่งแคว้นปัญจาลก็ชนะ จับท้าวสุราษฎร์เป็นเชลย และจะประหารชีวิตเสีย แต่นางมัทนาเข้ามาขอชีวิตพระราชบิดาไว้ และยอมเป็นบาทบริจาริกา ก่อนที่นางจะใช้พระขรรค์ปลงพระชนม์ตนเอง เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว นางมัทนาก็ไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ ส่วนท้าวสุเทษณ์ก็ได้ทำพลีกรรมบำเพ็ญจนได้มาเกิดบนสวรรค์เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ดี สุเทษณ์เทพบุตร ก็ยังยืนยันจะให้มายาวินลองวิชาดูก่อน มายาวินจึงเรียกเอามัทนามาด้วยวิชาอาคม เมื่อมัทนามาแล้ว ด้วยมนต์ที่ผูกไว้ ทำให้ไม่ว่าสุเทษณ์เทพบุตรจะถามอย่างไร มัทนาก็ตอบตามเป็นคำถามย้อนไปอย่างนั้น เหมือนไม่มีสติ สุเทษณ์เทพบุตรขัดใจนักก็ให้มายาวินคลายมนต์ ครั้นมนต์คลายแล้ว มัทนาก็ตกใจที่ตนล่วงเข้ามาในวิมานของสุเทษณ์เทพบุตรโดยไม่รู้ตัว สุเทษณ์เทพบุตรพยายามจะฝากรักมัทนา แต่มัทนามิรักตอบ จะอย่างไรๆก็ไม่ยอมรับรัก จนสุเทษณ์เทพบุตรกริ้วจัด สาปส่งให้นางลงไปเกิดเป็น ดอกกุพชกะ คือ ดอกกุหลาบ อยู่ในแดนมนุษย์ และจะกลับคืนเป็นคนได้ก็ต่อเมื่อวันเพ็ญ เพียง 1 วัน 1 คืนเท่านั้น แล้วจะกลับคืนเป็นกุหลาบดังเดิม แต่หากนางได้รักบุรุษใดแล้ว เมื่อนั้นจึงจะคงรูปมนุษย์อยู่ได้ และหากเมื่อใดที่นางมีทุกข์เพราะรัก ก็จงขอประทานโทษมายังพระองค์พระองค์จะยกโทษให้
             ภาคพื้นดิน - มัทนาได้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบอยู่ในป่าหิมวัน ในป่านั้นมีพระฤๅษีนามกาละทรรศินพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย พระกาละทรรศินได้เห็นกุหลาบมัทนาก็ชอบใจ สั่งให้ศิษย์ขุดเอากุหลาบมัทนาไปปลูกใหม่ไว้ใกล้อาศรม เมื่อถึงคืนวันเพ็ญ มัทนาก็กลายเป็นร่างมนุษย์มาคอยรับใช้พระกาละทรรศินและศิษย์ทั้งหลาย คอยปรนนิบัติเรื่อยมา พระกาละทรรศินก็รักมัทนาเหมือนลูกตัว
ต่อมาวันหนึ่ง ท้าวชัยเสนผู้ครองนครหัสดิน ได้เสด็จประพาสป่า ผ่านมายังอาศรมพระกาละทรรศิน ประจวบกับเป็นคืนวันเพ็ญ ก็ได้พบกับนางมัทนา ทั้งสองฝ่ายต่างรักกัน พระกาละทรรศินก็จัดพิธีอภิเษกให้ และนางมัทนาก็ได้เดินทางไปกับท้าวชัยเสน เข้าไปยังกรุงหัสดิน โดยไม่ได้กลับเป็นดอกกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนหลงรักนางมัทนามาก จนกระทั่งลืมมเหสีของตนคือนางจัณฑี พระมเหสีจัณฑีหึงหวงนางมัทนา ทั้งอิจฉาริษยาเป็นอันมาก ก็ทำอุบายใส่ร้ายนางมัทนาว่าเป็นชู้กับทหารเอกท้าวชัยเสนนามว่าศุภางค์ และยุยงท้าวมคธพระราชบิดาให้มาตีเมืองหัสดิน ท้าวชัยเสนออกไปรบ ครั้นเมื่อกลับมาได้ข่าวว่ามัทนาลอบเป็นชู้กับศุภางค์ก็กริ้วจัด สั่งประหารมัทนาเสียทันที แต่เพชฌฆาตได้ปล่อยนางหนีไปเพราะความสงสาร ส่วนศุภางค์นั้น ด้วยความจงรักภักดีต่อท้าวชัยเสน ก็ออกสนามรบกับท้าวชัยเสนเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะไพร่ทหารเลว และตายในที่รบ
มัทนาหนีกลับมายังป่าหิมวัน และได้ทำพลีกรรม์บูชาสุเทษณ์เทพบุตร จนสุเทษณ์เทพบุตรเสด็จมา และเอ่ยปากจะช่วยให้คืนสวรรค์ สุเทษณ์เทพบุตรได้ขอความรักจากนางอีก แต่มัทนามิสามารถจะรักใครได้อีกแล้ว และปฏิเสธไป สุเทษณ์เทพบุตรกริ้วนัก จึงสาปนางให้เป็นกุหลาบไปตลอดชีวิต
ฝ่ายท้าวชัยเสน ต่อมาเมื่อรบชนะท้าวมคธ และได้รู้ความจริงทั้งหมด ก็กริ้วพระมเหสีจัณฑีมาก และได้ลงอาญาไป ก่อนจะออกไปตามหามัทนาในป่า แต่สิ่งที่พบ ก็เพียงแต่กุหลาบกอใหม่อันขึ้นอยู่ยังกองกูณฑ์บูชาสุเทษณ์เทพบุตรเท่านั้น ท้าวชัยเสนทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป แต่ด้วยความรักสุดจะรัก จึงนำกุหลาบมัทนากลับไปปลูกใหม่ยังสวนขวัญกรุงหัสดิน


                    วรรณคดีเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความรัก และเป็นที่มาของดอกกุหลาบ

                                                                                                     อ้างอิง อ.ดร.ลาวัณย์ สังขพันธานนท์

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

โวหารในวรรณคดีไทย




                  หากพูดถึงวรรณคดีไทยแล้ว จะอ่านให้เข้าถึงอารมณ์และแก่นแท้ของเนื้อหาแล้ว
เราต้องรู้จักการใช้โวหารในการแต่งวรรณคดีไทยเสียก่อนซึ่งตัวดิฉันเองนำโวหารมาให้รูจัก
โวหารภาพพจน์ในวรรณคดีไทย
  การใช้ภาพพจน์ในวรรณคดี
 ภาพพจน์  หมายถึง  คำ  หรือ  กลุ่มคำ  ที่สร้างขึ้นจากกลวิธีในการใช้คำ  เพื่อให้ปรากฏภาพที่เด่นชัดและลึกซึ้งขึ้นในใจ
ทำให้ผู้อ่านและผู้ฟังเกิดจินตภาพคล้อยตาม  การสร้างภาพพจน์เป็นสิลปทางภาษาขั้นสูงของการแต่งคำประพันธ์  โดยผู้แต่งใช้กลวิธี
การเปรียบเทียบที่คมคายในลักษณะต่างๆ  ภาพพจน์มีหลายประเภท  แต่ที่สำคัญๆ  คือ

 ๑.  อุปมา
การเปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนอีกสิ่งหนึ่ง  โดยใช้คำเชื่อมเหล่านี้ "เหมือน ราว ราวกับเปรียบ ดุจ ประดุจ ดัง ดั่ง เฉก เช่น เพียง เพี้ยง ประหนึ่ง ถนัด กล เล่ห์ ปิ้มว่า ปาน ครุวนา ปูน พ่าง ละม้าย
 ทนต์แดงดั่งแสงทับทิม  เพริศพริ้มเพรารับกับขนง
(อิเหนา)

ใช่นางเกิดในปทุมา       สุริยวงศ์พงศานั้นหาไม่
จะมาช่วงชิงกันดังผลไม้        อันจะได้นางไปอย่าสงกา
(อิเหนา)

ครั้นวางพระโอษฐ์น้ำ  เวียนวน  อยู่นา
เห็นแก่ตาแดงกล            ชาดย้อม
หฤทัยระทดทน              ทุกข์ใหญ่  หลวงนา
ถนัดดั้งไม้ร้อยอ้อม           ท่าวท้าวทับทรวง
                                                            (ลิลิตพระลอ)

 ๒.  อุปลักษณ์
การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง มักใช้คำว่า "คือ" และ "เป็น" เช่น ครูคือเรือจ้าง ทหารเป็นรั้วของชาติ
          ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล   คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น        บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม
(นิราศเมืองแกลง)
 บางครั้งภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ไม่มีคำกริยา "คือ" และ "เป็น" ให้สังเกต เราจะต้องตีความเอาเอง เช่น
             ก้มเกล้าเคารพอภิวาท            พระปิ่นภพภูวนาถนาถา
ยับยั้งคอยฟังพระวาจา                        จะบัญชาให้ยกโยธี
(อิเหนา)

  
 ในที่นี้ เปรียบพระมหากษัตริย์เป็นปิ่นของแผ่นดิน
        ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง      บาทา อยู่เฮยด
จึงบอาจลีลา                       คล่องได้
เชิญผู้ที่เมตตา                     แก่สัตว์ ปวงแฮ
ชักตะปูนี้ให้                       ส่งข้าอัญขยม
                                         (ขัตติยพันธกรณี)

 ในที่นี้ เปรียบภาระหน้าที่เป็นตะปูที่ตรึงเท้าไว้
         อัจกลับแก้วในทิพยสถานไกลลิบลิ่ว    ฉายแสงสาดหาดทรายทอสีเงินยวง ต้องกรวหินสินแร่บางชนิดแวววาว  งามรังสีแจ่มจันทร์เจ้าวาวระยับ ย้อยลงในแควแม่น้ำไหล ไหวๆ แพรวพราวราวเกล็ดแก้วเงินทอง
(บันทึกของจิตรกร, อังคาร  กัลยาณพงศ์)

 ในที่นี้ เปรียบพระจันทร์เป็นอัจกลับแก้ว  หรือโคมไฟที่ส่องสว่างกระจ่างตา
                     เดือนตกไปแล้ว  ดาวแข่งแสงขาว  ยิบ ๆ ยับ ๆ เหมือนเกล็ดแก้วอัน สอดสอยร้อยปักอยู่เต็มผ้าดำผืนใหญ่  วูบวาบวิบวับส่องแสง  ใหญ่แลน้อย ใกล้แลไกล...
(เจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาติอินทร์แขวน, มาลา คำจันทร์)
  ในที่นี้ เปรียบ ท้องฟ้าอันมืดมิดเป็นผ้าดำผืนใหญ่
               ภาษาอุปลักษณ์ นอกจากจะปรากฎในงานประพันธ์แล้ว ยังปรากฎใช้ในภาษาชีวิตประจำวัน   เช่น ศึกฟุตบอลโลก ไฟสงคราม ตะเข็บชายแดน ในที่นี้ กวีเปรียบน้ำค้างมีประกายวาวเหมือนประกายของเพชรน้ำงาม และเปรียบหญ้าเป็นผืนพรม เพื่อทำ
ให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพชัดเจนว่า น้ำค้างนั้นมีประกายวาวงามและต้นหญ้านั้นก็เขียวขจีปูลาดเป็นพรม   แต่ถ้ากล่าวว่า "น้ำตาหลั่งเป็นสายเลือด" ข้อความนี้มิได้มุ่งหมายจะเปรียบลักษณะของน้ำตาว่าเหมือนสายเลือด  แต่เน้นย้ำเชิงปริมาณว่าร้องไห้ใจจะขาด ดังนั้น "น้ำตาหลั่งเป็นสายเลือด" ประโยคนี้เป็นอติพนจ์

 ๓) บุคคลวัต
 การสมมุติสิ่งต่าง ๆ ให้มีกิริยาอาการ ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ เช่น ดวงตะวัน แย้มยิ้ม, สายลมโลมไล้เอาอกเอาใจ
พฤกษาลดามาลย์
ต้นไม้แต่งตัว   อยู่ในม่านมัวของหมอกคราม
บ้างลอกเปลือกอยู่ปลามปลาม  บ้างแปรกิ่งประกบกัน
บ้างปลิวใบสยายลม   บ้างชื่นชมช่อชูชัน
บ้างแตกกิ่งอวดตาวัน   บ้างว่อนไหวจะร่ายรำ
บ้างเตรียมหาผ้าแพรคลุม  บ้างประชุมอยู่พึมพำ
ท่านผู้เฒ่าก็เตรียมทำ  พิธีสู่ขวัญผู้เยาว์
ม่านหมอกค่อยคล้อยคลี่  เผยเวทีอันพริ้งเพราด
หมู่ไม้ร่าเริงเร้า   จะต้อนรับฤดูกาล
(เพลงขลุ่ยผิว, เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)



 ๔) อติพจน์
การเปรียบเทียบโดยการกล่าวข้อความที่เกินจริง มักเปรียบเทียบในเรื่องปริมาณว่ามีมากเหลือเกิน มีเจตนา
เน้นข้อความที่กล่าวนั้นให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น เช่น 
ร้อนตับแตก, คอแห้งเป็นผง, รักคุณเท่าฟ้า, มารอตั้งโกฎิปีแล้ว, ใจดีเป็นบ้า,อกไหม้ไส้ขม,
 เหนื่อยสายตัวแทบขาดนี่ฤาบุตรีพระดาบส   งามหมดหาใครจะเปรียบได้
อนิจจาบิดาท่านแสร้งใช้  มารดต้นไม้พรวนดิน
ดูผิวสินวลละอองอ่อน  มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น
สองเนตรงามกว่ามฤคิน  นางนี้เป็นปิ่นโลกา
(ศกุนตลา)

ตราบขุนคิริขัน   ขาดสลาย  ลงแม่
รักบ่หายตราบหาย   หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย   จากโลก  ไปฤา
ไฟแล่นล้างสี่หล้า   ห่อนล้างอาลัย
(นิราศนรินทร์)


เสียงไห้ทุกราษฎร์ไห้             ทุกเรือน
อกแผ่นดินดูเหมือน                จักขว้ำ
บเห็นตะวันเดือน                    ดาวมือ มัวนา
แลแห่งใดเห็นน้ำ                     ย่อมน้ำตาคน
(ลิลิตพระลอ)
 ๕) นามนัย
การใช้คำหรือวลีที่บ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแสดงความหมายแทนสิ่งนั้นทั้งหมด เช่น
ใช้ เวที แทน การแสดง มงกุฎ, พระบาท แทน กษัตริย์ เก้าอี้ แทนตำแหน่งหน้าที่ของผู้บริหาร ข้าวปลา แทน อาหาร
...ว่านครรามินทร์  ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราช เยียววิวาทชิงฉัตร
(ลิลิตตะเลงพ่าย)
ฉัตรเป็นชื่อเครื่องสูงอย่างหนึ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับพระมหากษัตริย์ แสดงความเป็นกษัตริย์ ในที่นี้ กวีใช้ ฉัตร
ให้หมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ หรือความเป็นกษัตริย์
(๑)  ยิงร่านมันกินมาหลายวัน  อุตส่าห์ให้น้องนั้นได้ขี่มา
(๒)  ถ้าแพ้ลงคงปรับทับทวี  เลือดเนื้อเท่านี้เป็นเงินทอง
(๓)  ขุดเผือกมันสู่กันมาตามจน  พักร้อนผ่อนปรนมาในป่า
(เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน)
ข้อ (1) ยุงร่าน เป็นนามนัยแทนสัตว์ที่กินเลือดเป็นอาหาร ข้อ (2) ใช้ เลือดเนื้อแทนชีวิต และข้อ (๓) เผือกมัน
เป็นนามนัยแทนอาหารที่หาได้ตามป่าตามเขา

 ๖)  สัญลักษณ์
การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งที่มีคุณสมบัติหรือลักษณะภาวะบางประการร่วมกันเป็นการสร้าง
จินตภาพซึ่งใชัรูปธรรมชักนำไปสู่ความหมายอีกชั้นหนึ่ง  ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่เข้าใจในสังคม เช่น 
ใช้ ดอกไม้ แทน ผู้หญิง เพราะมีคุณสมบัติ
ร่วมกัน คือความสวยงามและความบอบบาง ใช้ ราชสีห์ แทน ผู้มีอำนาจ เพราะราชสีห์และผู้มีอำนาจต่างมีคุณสมบัติร่วมกัน
คือความน่าเกรงขาม
ตัวอย่าง สัญลักษณ์ที่มักพบเห็นกันเสมอๆ เช่น
จามจุรี แทน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รุ้ง แทน ความหวัง พลัง กำลังใจ
หมอก แทน มายา อุปสรรค สิ่งที่สลายตัวรวดเร็ว
นกพิราบ แทน  สันติภาพ
ดอกมะลิ แทน ความบริสุทธิ์ ความชื่นใจ
สวัสดิกะ แทน เยอรมันยุคนาซี

 7) สัทพจน์ (Onomatopoeia) คือ การเปรียบเทียบโดยใช้คำเลียนแบบให้เห็นท่าทาง แสง สี ได้ยินเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือ หลายอย่างรวมกันก็ได้ มักจะพบในความเป็นธรรมชาติ หรือเครื่องดนตรี หรือเครื่องใช้ตามวิถีชาวบ้าน เช่น

เสียงโหม่ง หม่อง ฆ้องตีเคล้าปี่พาทย์ เสียงเตรง เตร่ง ระนาดชัดจังหวะ
เสียงตะโพน เท่งติง ติง เท่งป๊ะ  เสียงกลองแขก โจ๊ะ จ๊ะ โจ๊ะ โจ๊ะ
                                                     ( มโหรีชีวิต : แก้วตา  ชัยกิตติภรณ์ )

 8) วิภาษ (Oxymoron) การเปรียบเทียบความขัดแย้ง หรือสิ่งที่ตรงข้ามกันนำมาจับเข้าคู่กัน เช่น กากับหงส์ ดินกับฟ้า
มืดกับสว่าง ดังตัวอย่างเช่น

ความมือแผ่รอบกว้างสว่างหลบ รอบใจพลบแพ้พ่ายสลายขวัญ
ชวนกำสรดซบหน้าซ่อนจาบัลย์  วะหวิวหวั่นหวาดหวังว่ายังคอย
                                                  (มือกับสว่าง : อรฉัตร   ซองทอง)

 9) อรรถวิภาษ (Paradox) คือ การเปรียบเทียบการใช้คำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันแต่เมื่อพิจารณาความหมายลึกซึ้งโดย
แท้จริงแล้วอาจเข้ากันได้  หรือนำมาเข้าคู่กันได้อย่างกลมกลืน
เปลวควันเทียนริบหรี่กลับมีแสง เกิดจากแรงตั้งจิตอธิษฐาน
ดวงตาจึงมองเห็นธรรมสืบตำนาน ดวงใจจึงเบิกบานแต่นั้นมา
(แสงเทียนแสงธรรม : เสมอ  กลิ่นประทุม)
ริบหรี่ กับ แสง มีความหมายตรงข้ามกันสิ้นเชิง ครั้นเมื่ออยู่ในประโยคเดียวกันก็มีเนื้อความเรื่องเดียวกัน

 10) อธินามนัย (Metonymy) คือ การเปรียบเทียบ โดยจาระไนของหลาย ๆ อย่างที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึง
กันมากล่าวนำ และสรุปความหมายรวม คือใช้ชื่อเรียกรวม ๆ แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง
เลือดสุพรรณวันก่อนเคยร้อนรุ่ม หลั่งลงรุ่มฉาบดินทุกถิ่นฐาน
บัดนี้เย็นเป็นสุขทุกประการ  เพราะไทยหาญหวงถิ่นไว้ให้ไทยเอย
(เลือดสุพรรณ : ประสิทธิ์  โรหิตเสถียร)
คำว่าไทย ในบทกลอนข้างต้น หมายถึง เฉพาะชาวไทย มิได้หมายถึงประเทศไทยหรือเชื้อชาติหรือสัญชาติ
แต่อย่างใด จึงเรียก อธินามนัย ส่วน ไทย คำหลังหมายถึงประเทศไทย

 11) ปฏิพากย์
การนำเอาคำและความหมายที่ไม่สอดคล้องกันและดูเหมือนจะขัดแย้งกันมารวมไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดผลการสื่อสาร
เป็นพิเศษ เช่น น้ำผึ้งขม, คาวน้ำค้าง, ศัตรูคือยากำลัง, ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า, รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ, น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย,
แดดหนาว, มีความเคลื่อนไหวในความหยุดนิ่ง
แทบฝั่งธารที่เราเฝ้าฝันถึง  เสียงน้ำซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียง
จักรวาลวุ่นวายไร้สำเนียง  โลกนี้เพียงแผ่นภพสงบเย็น
(วารีดุริยางค์, เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)

เธอตายเพื่อจะปลุกให้คนตื่น  เธอตายเพื่อผู้อื่นนับหมื่นแสน
เธอเป็นดินก้อนเดียวในดินแดน  แต่จะหนักและจะแน่นเต็มแผ่นดิน
(กระทุ่มแบน, เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)

ในบทประพันธ์นี้  กล่าวถึงหญิงสาวผู้ใช้แรงงานในโรงงานแห่งหนึ่งที่อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร  ถูกทำร้าย
ถึงแก่ชีวิต  ในครั้งที่ประท้วงต่อสู้กับนายทุนในยุคก่อนปีพุทธศักราช 2514 ซึ่งเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบานของเมืองไทย  กวีได้
กล่าวว่าการตายของชนผู้ใช้แรงงานนี้เป็นการตายที่มีคุณค่า  อาจปลุกจิตสำนึกของผู้คนในสังคมได้และกล่าวเปรียบหญิงผู้ใช้แรงงาน
นั้นเป็นดินที่แม้จะเป็นเพียงดินก้อนเดียว แต่ดินก้อนนี้ "หนักและแน่นเต็มแผ่นดิน" การกล่าวว่า เธอตายเพื่อจะปลุกให้คนตื่น และ
ดินก้อนเดียวที่หนักแน่นเต็มแผ่นดิน เป็นปฏิพากย์
 12) อุปมานิทัศน์
การใช้เรื่องราวนิทานขนาดสั้นหรือขนาดยาวประกอบ ขยาย หรือแนะโดยนัยให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจได้อย่างชัดเจน
แจ่มแจ้งในแนวความคิด หลักธรรม หรือข้อควรปฏิบัติที่ผู้เขียนประสงค์จะสื่อไปยังผู้อ่านผู้ฟัง

เช่น
ปีนี้มีความเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วหลายอย่าง  ด้วยประชานกชาวสวนจิตรลดาฯ นี้มีเพิ่มเติมขึ้น แต่ก่อนนี้ มีอีกา
มีนกพิราบ แต่เดี๋ยวนี้ถ้าจะดูไป ก็จะเห็นว่ามีหงส์ทั้งขาวทั้งดำเพิ่มขึ้นมา และมีนกกาบบัว มีนกยูงเพิ่มเติมขึ้นมา ที่พูดถึงประชานกนี้ก็
เพราะว่าเมื่อดุลย์ของธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป ก็จะต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ้าง... อีกาเป็นใหญ่อีกาจะตีนกพิราบ แล้วนกพิราบก็จะตีนกเอี้ยง ที่มีจำนวนมากเหมือนกัน นกเอี้ยงก็จะตีนกกระจอก ส่วนนกกระจอกก็ไม่ทราบว่าเขาไปตีใคร เห็นได้ว่าเขาตีกันเป็นลำดับชั้นไป จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ รู้สึกว่านกกระจอกจะสูญพันธุ์ แต่ว่าอีกาก็ยังมีอยู่ อีกาก็ได้ไปเยี่ยมบ้านใกล้เคียงมาหลายครั้ง ทำให้เกิดความตื่นเต้นในหมู่ผู้ที่อยู่ ที่ทำงานในบ้านเหล่านั้น แต่ว่าอีกานั้น ที่อยู่ได้ก็เพราะว่าเกรงใจนกกาบบัว ถ้าไม่เกรงใจนกกาบบัว อีกาก็จะสูญพันธุ์เพราะว่านกกาบบัว ซึ่งเป็นคล้าย ๆ นกกระสา แม้มีอยู่เพียงสิบกว่าตัว แต่เป็นนกที่ใหญ่ และเมื่อมาใหม่ ๆ ยังเป็นเด็ก ๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะประพฤติตนให้ดีเมื่อถูกอีกาเข้าโจมตี แต่ด้วยความเป็นนกใหญ่ นกกาบบัวจึงเตะอีกาเป็นอันว่าอีกาก็เข็ดหลาบ ไม่สามารถที่จะจู่โจมตีนกกาบบัวได้ จึงอยู่ร่วมกันโดยสันติ ไม่ทะเลาะกันต่อไป และนกกาบบัวนี้ก็ได้รับอาหารประจำวัน อีกาก็มาปันส่วนด้วย ทุกวันนี้ก็จะเห็นได้ว่าอยู่ร่วมกันโดยสันติ ดุลย์ของธรรมชาติก็เกิดขึ้นได้ ชักนิยายเรื่องนกมา ก็เพื่อให้เห็นว่าตอนแรก ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีการทะเลาะกัน แต่เมื่อเข็ดหลาบอย่างหนึ่ง หรือมีความคิดที่ถูกต้อง ที่จะช่วยกันดำเนินชีวิตร่วมกันก็อยู่ได้โดยสันติ ไม่ทะเลาะกัน ไม่ทำอันตรายกันดุลย์ของธรรมชาติจึงเกิดขึ้น
(พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)
                  สรุปแล้วก็คือโวหารในวรรณคดีไทยมีหลายอย่างด้วยกัน ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งวัยรุ่นสมัยนี้คงไม่รู้จักโวหาร หวังว่าคงได้รับความรู้ไม่มากก็น้อย
                           
                                                                                              อ้างอิง อ.ดร.ลาวัณย์  สังขพันธานนท์

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557




   วรรณคดีไทย               

                     หากจะพูดถึงวรรณคดีไทย หลายคนอาจไม่รู้จัก หรือแค่รู้จักแค่บางเรื่อง ที่เคยเรียนมาในหลักสูตรการศึกษา แต่ถ้าให้ศึกษา วรรณคดีคงเป็นที่ถูกมองข้ามจากนักเรียนนักศึกษาโดยเห็นว่าวรรณคดี เป็นเรื่องยากต่อการเรียนรู้ แต่วรรณคดีไม่ได้ยากย่างที่คิด หากตั้งใจและสนใจที่จะศึกษา ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่องราวของวรรณกรรม วรรณคดีของไทย เพราะเห็นความสำคัญและเห็นเสน่ห์ของวรรณคดีไทย ซึ่งการแต่งแต่ล่ะเรื่องนั่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน จีงอยากนำเสนอให้ทุกคนได้รู้จักความงามของวรรณคดีไทย

วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ยกย่องกันว่าดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ การใช้คำว่าวรรณคดีเพื่อประเมินค่าของวรรณกรรมเกิดขึ้นในพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ 6
วรรณคดี เป็นวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเขียนดี มีคุณค่า สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความคิดเป็นแบบแผน ใช้ภาษาที่ไพเราะ เหมาะแก่การให้ประชาชนได้รับรู้ เพราะ สามารถ ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
ประเภท
วรรณคดีแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
วรรณคดีมุขปาฐะ
คือ วรรณคดี แบบที่เล่ากันมาปากต่อปาก ไม่ได้บันทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น เพลงพื้นบ้าน นิทานชาวบ้าน บทร้องเล่น
วรรณคดีราชสำนัก หรือ วรรรคดีลายลักษณ์
เช่น ไตรภูมิพระร่วง พระอภัยมณี อิเหนา ลิลิตตะเลงพ่าย
วรรณคดีในภาษาไทย
วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ยกย่องกันว่าดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ การใช้คำว่าวรรณคดีเพื่อประเมินค่าของวรรณกรรมเกิดขึ้นในพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ 6
วรรณคดี เป็นวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเขียนดี มีคุณค่า สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความคิดเป็นแบบแผน ใช้ภาษาที่ไพเราะ เหมาะแก่การให้ประชาชนได้รับรู้ เพราะ สามารถ ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
วรรณคดีในภาษาไทย
วรรณคดีในภาษาไทย ตรงกับคำว่า "Literature ในภาษาอังกฤษ" โดยคำว่า Literature ในภาษาอังกฤษมาจากภาษาลาติน แปลว่า การศึกษา ระเบียบของภาษา ซึ่งในภาษาอังกฤษจะมีความหมายหลายอย่าง ดังนี้
อาชีพการประพันธ์
งานเขียนในสมัยใดสมัยหนึ่ง งานประพันธ์ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ และผู้อ่านทั่วไป สำหรับในภาษาไทย วรรณคดี ปรากฏครั้งแรกในหนังสือพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสร วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 โดยมีความหมายคือ หนังสือที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี นั้นคือมีการใช้ภาษาอย่างดี มีศิลปะการแต่งที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านศิลปะการใช้คำ ศิลปะการใช้โวหารและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และภาษานั้นให้ความหมายชัดเจน ทำให้เกิดการโน้มน้าวอารมณ์ผู้อ่านให้คล้องตามไปด้วย กล่าวง่ายๆ คือ เมื่อผู้อ่าน ๆ แล้วทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ตื่นเต้นดื่มด่ำ หนังสือเล่มใดอ่านแล้วมีอารมณ์เฉยๆ ไม่ซาบซึ้งตรึงใจและทำให้น่าเบื่อถือว่าไม่ใช่วรรณคดี หนังสือที่ทำให้เกิดความรู้สึกดื่มด่ำดังกล่าวนี้จะต้องเป็นความรู้สึกฝ่ายสูง คือทำให้เกิดอารมณ์ความนึกคิดในทางที่ดีงาม ไม่ชักจูงในทางที่ไม่ดี
การศึกษาวรรณคดีโดยวิเคราะห์ตามประเภท สามารถแบ่งได้เป็นประเภทต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
- วรรณคดีคำสอน
- วรรณคดีศาสนา
- วรรณคดีนิทาน
- วรรณคดีลิลิต
- วรรณคดีนิราศ
- วรรณคดีเสภา
- วรรณคดีบทละคร
- วรรณคดีเพลงยาว
- วรรณคดีคำฉันท์
- วรรณคดียอพระเกียรติ
- วรรณคดีคำหลวง
- วรรณคดีปลุกใจ
วรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัยตกทอดมาถึงสมัยนี้น้อยมากที่เป็นชิ้นเป็นอัน คือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชและศิลาจารึกหลักอื่นๆ  ส่วนที่เป็นใบลาน  สมุดข่อยไม่ปรากฏ มีแต่ฉบับคัดลอกกันต่อๆมาเท่านั้น นักวิชาการหลายท่านยังมีความเห็นขัดแย้งกันว่าบางเรื่องน่าจะเป็นผลงานของกวีในสมัยหลังๆ หรือไม่ก็เป็นฉบับที่ดัดแปลงแก้ไขจนแทบจะไม่เหลือเค้าของเดิม  โดยเฉพาะเรื่องตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศกับเรื่องสุภาษิตพระร่วง
         วรรณคดีที่นักปราชญ์ราชบัณฑิตไทยยอมรับกันว่าเกิดในสมัยกรุงสุโขทัยมี ๔ เรื่อง
       ๑.ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
                โดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชและอาลักษณ์ในสมัยนั้น
                ใช้คำประพันธ์ ร้อยแก้ว เพื่อบันทึกเรื่องราวในสมัยนั้น

       ๒.ไตรภูมิพระร่วง
                พระนิพนธ์ใน พระเจ้าลิไท
               ใช้คำประพันธ์ ร้อยแก้ว
                เพื่อเทศน์ให้พระราชมารดาฟัง และเพื่อสอนศาสนา         แก่ประชาชนทั่วไป
       ๓.สุภาษิตพระร่วง
               ไม่ปรากฏหลักฐานผู้แต่ง
               ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรอง ประเภทร่าย มีโคลงกะทู้ตอนท้าย ๑ บท
                เพื่อสั่งสอนประชาชน
       ๔.ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือตำรับนางนพมาศ
              ประพันธ์โดยท้าวศรีจุฬาลักษณ์
             ใช้คำประพันธ์ ร้อยแก้ว
             เพื่อบันทึกประวัติส่วนตัวของผู้แต่งและบันทึกพิธีต่างๆ ทั้ง ๑๒ เดือน

วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี

          สมัยกรุงธนบุรี บ้านเมืองอยู่ในระยะบูรณะประเทศ บ้านเมืองไม่สงบสุข นักปราชญ์ราชบัณฑิตที่มีชีวิตหลงเหลือมาจากกรุงเก่ามีไม่มากนัก นอกจากนั้นอยู่ตามหัวเมืองก็พอที่จะรวบรวมกันมาได้ช่วยราชการงานศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรมและวรรณคดีต่างๆเท่าที่พอจะมีเวลากระทำได้ หลังจากรบทัพจับศึก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงพยายามทำนุบำรุงบ้านเมือง ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ เท่าที่จะทำได้ คำกล่าวที่ว่า "คนไทยรบพม่าไป แต่งรามเกียรติ์ไป" ก็น่าจะมีเหตุผลดี เพราะพระมหากษัตริย์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ไว้ถึง ๔ ตอน   
       
         วรรณกรรมและวรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะคงสภาพมากกว่าที่จะเป็นงานสร้างสรรค์ให้มีความดีเด่น แนวโน้นของการแต่ง แต่งเพื่อปลุกใจให้ใจรักชาติบ้านเมืองและปลุกปลอบใจให้คลายจากความหวาดกลัวภัยสงคราม นิยมแต่งเป็นร้อยกรอง จำนวนกวีมีน้อยเกินไป แต่ก็เหมาะสมกับเวลา วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรีมีดังนี้
๑.รามเกียรติ์ ฉบับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มี ๔ ตอน คือ ตอนพระมงกุฎ หนุมานเกี้ยวนางวานริน ท้าวมาลีวราชว่าความ และทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกลดปลุกหอกกบิลพัท
พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนบทละคร
เพื่อใช้เล่นละคร และเพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
๒.ลิลิตเพชรมงกุฏ
ประพันธ์โดย หลวงสรวิชิต (หน)
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทลิลิต
เพื่อเล่านิทาน
๓.อิเหนาคำฉันท์
ประพันธ์โดย หลวงสรวิชิต (หน)
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทฉันท์
เพื่อแต่งนิทานคำฉันท์
๔.โคลงยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ประพันธ์โดย นายสวน มหาดเล็ก
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ
เพื่อยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี
๕.นิราศกวางตุ้ง ของพระยามหานุภาพ
ประพันธ์โดย พระยามหานุภาพ
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนเพลง
เพื่อบันทึกการเดินทาง
๖.กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
ประพันธ์โดย พระภิกษุอินท์
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทฉันท์
เพื่อสั่งสอนสตรี
วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น     
     วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น      ที่สำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้นส่วนใหญ่มีเรื่องเกี่ยวกับศาสนพิธีกรรมและพระมหากษัตริย์ จึงมีเนื้อเรื่องคล้ายวรรณคดีสุโขทัยส่วนลักษณะการแต่งแตกต่างกับวรรณคดีสุโขทัยเป็นอย่างมาก วรรณคดีในสมัยนี้แต่งด้วยร้อยกรองทั้งสิ้นคำประพันธ์ที่ใช้เกือบทุกชนิด คือ โคลง ร่าย กาพย์ และฉันท์ ขาดแต่กลอนส่วนใหญ่แต่งเป็นลิลิต คำบาลี่ สันสกฤตและเขมรเข้ามาปะปนในคำไทยมากขึ้นวรรณคดีที่สำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้น
๑.ลิลิตโองการแช่งน้ำ
ผู้แต่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงค์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ประวัติ ต้นฉบับเดิมที่เหลืออยู่เขียนด้วยอักษรขอม ข้อความที่เพิ่มขึ้นในรัชกาลที่๔ ตามหลักฐานซึ่งรัชกาลที่ ๕ทรงยืนยันไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ "แทงพระแสงศรประลัยวาต" "แทงพระแสงศรอัคนิวาต" และ "แทงพระแสงศรพรหมมาสตร์"คำประพันธ์ที่ใช้คือโคลงห้าและร่ายโบราณ 
ทำนองแต่ง มีลักษณะเป็นลิลิต คือ มีร่ายกับโคลงสลับกัน ร่ายเป็นร่ายโบราณ ส่วนโคลงเป็นโคลงแบบโคลงห้าหรือมณฑกคติ ถ้อยคำ ถ้อยคำที่ใช้ส่วนมากเป็นคำไทยโบราณ นอกจากนั้นมีคำเขมร และบาลี สันสกฤต ปนอยู่ด้วย คำสันสกฤตมีมากกว่าคำบาลี
ความมุ่งหมาย ใช้อ่านในพิธีถือพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีศรีสัจปานกาล ซึ่งกระทำตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทองสึบต่อกันมาจนเลิกไปเมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย ใน พ.ศ.๒๔๗๕
เรื่องย่อ เริ่มต้นด้วยร่ายดั้นโบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร  พระพรหมตามลำดับ ต่อจากนั้นบรรยายด้วยโคลงห้า และร่ายดั้นโบราณสลับกัน กล่าวถึงไฟไหม้โลกเมื่อสิ้นกัลป์แล้วพระพรหมสร้างโลกใหม่ เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การกำหนดวัน เดือน ปี และการเริ่มพระราชาธิบดีในหมู่คน แล้วอัญเชิญพระกรรมบดีปู่เจ้ามาร่วมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตอนต่อไปเป็นการอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เรืองอำนาจมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดา อสูร ภูตปีศาจ ตลอดจนสัตว์มีขี้เล็บเป็นพยาน ลงโทษผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนผู้ซื่อตรงภักดี ขอให้มีความสุขและลาภยศ ตอนจบเป็นร่ายยอพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน
๒.มหาชาติคำหลวง
ผู้แต่ง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ประวัติ มหาชาติคำหลวงเป็นหนังสือมหาชาติฉบับภาษาไทย และเป็นประเภทคำหลวงเรื่องแรก เรื่องเกี่ยวกับผู้แต่งและปีที่ แต่งมหาชาติคำหลวง ปรากฏหลักฐานในเรื่องพงศาวดารฉบับคำหลวงกล่าวยืนยันปีที่แต่งไว้ตรงกับมหาชาติคำหลวงเดิมหายไป ๖ กัณฑ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระราชาคณะและนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งซ่อมให้ครอบ ๑๓ กัณฑ์ เมื่อจุลศักราช ๑๑๗๖ พุทธศักราช ๒๓๔๗ ได้แก่ กัณฑ์ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัทรี สักกบรรพ และฉกษัตริย์
ทำนองแต่ง แต่งด้วยคำประพันธ์หลายอย่าง คือ โคลง ร่าง กาพย์ และฉันท์ มีภาษาบาลี แทรกตลอดเรื่องมหาชาติคำหลวงเรื่องนี้เป็นหนังสือประเภทคำหลวง
ความมุ่งหมาย เพื่อใช้อ่านหรือสวดในวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา และอาจเรียกรอยตามพระพุทธธรรมราชาลิไท ซึ่งพระราชนิพนธ์เรื่องไตรภูมิพระร่วง
เรื่องย่อ มหาชาติคำหลวง แปลว่าชาติใหญ่ ชาติสำคัญ เป็นหนังสือที่กล่าวถึงการบำเพ็ญทานอย่างยิ่งใหญ่ ของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ เป็นการบำเพ็ญบารมีครบทั้ง ๑๐ บารมี และเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวเป็นทานบารมีที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการบริจาคบุตรและภรรยา ซึ่งเป็นการยากหาผู้จะทำได้ พระองค์ทรงบริจาคทานทุกอย่างด้วยศรัทธาแรงกล้า มหาชาติคำหลวง ซึ่งได้กล่าวแล้วว่า ฉบับเดิมเป็นภาษามคธ แต่งเป็นปัฐยาวัตรฉันท์ มีจำนวน ๑,๐๐๐ บทด้วยกัน
๓.ลิลิตยวนพ่าย
ผู้แต่ง ไม่ปรากฏ
ประวัติ สันนิษฐานแต่งในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ.๒๐๑๗ ซึ่งเป็นปีเสด็จศึกเชียงชื่น แต่ความเห็นอีกประการหนึ่งว่า แต่งในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ (พ.ศ.๒๐๓๔ - ๒๐๗๒)
ทำนองแต่ง แต่งเป็นลิลิตดั้น ประกอบด้วยร่ายดั้นโคลงดั้นบาทกุญชร ร่ายดั้น ๒ บท และโคลงดั้นบทกุญชร ๓๖๕ บท
ความมุ่งหมาย เพื่อยอพระเกียรติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสดุดีชัยชนะที่มีต่อเชียงใหม่ในรัชกาลนั้น
เรื่องย่อ ตอนต้นกล่าวนมัสการพระพุทธเจ้าและนำหัวข้อธรรมมาแจกแจงทำนองยกย่องสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถว่า ทรงคุณธรรมข้อนั้น ๆ กล่าวถึงพระราชประวัติ ตั้งแต่ประสูติจนได้ราชสมบัติ ต่อมาเจ้าเมืองเชียงชื่น(เชลียง)เอาใจออกหาง นำทัพเชียงใหม่มาตีเมืองชัยนาท แต่ถูกสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตีแตกกลับไป และยึดเมืองสุโขทัยคืนมาได้ แล้วประทับอยู่เมืองพิษณุโลก เสด็จออกบวชชั่วระยะหนึ่ง ต่อจากนั้นกล่าวถึงการทำสงครามกับเชียงใหม่อย่างละเอียดครั้งหนึ่ง แล้วบรรยายเหตุการณ์ทางเชียงใหม่ ว่าพระเจ้าติโลกราชเสียพระจริต ประหารชีวิตหนานบุญเรืองราชบุตร และหมื่นดังนครเจ้าเมืองเชียงชื่น ภรรยาหมื่นดังนครไม่พอใจ ลอยมีสารมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของสมเด็จสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและขอกองทัพไปช่วย พระเจ้าติโลกราชทรงยอทัพมาป้องกันเมืองเชียงชื่น เสร็จแล้วเสด็จกลับไปรักษาเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงกรีธาทัพหลวงขึ้นไปรบตีเชียงใหม่พ่ายไปได้เมือวเชียวชื่ม ตอนสุดท้ายสรรเสริญพระบารมีสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถอีกครั้งหนึ่ง
 ๔.ลิลิตพระลอ 
ผู้แต่ง  อาจเป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๒๐๑๗)หรือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.๒๒๐๕)
ทำนองแต่ง เป็นคำประพันธ์ประเภทลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพเป็นส่วนใหญ่ บางโคลงมีลักษณะคล้ายโคลงดั้นและโคลงโบราณ และร่ายบางบทเป็นร่ายโบราณและร่ายดั้น
ความมุ่งหมาย แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เป็นที่สำราญหฤทัย
เรื่องย่อ เมืองสรวงและเมืองสรองเป็นศัตรูกัน พระลอกษัตริย์เมืองสรวงทรงพระสิริโฉมยิ่งนัก จนเป็นที่ต้องพระทัยพระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกรกษัตริย์แห่งเมืองสรอง นางรื่นนางโรยพระพี่เลี้ยงได้ขอให้ปูเจ้าสมิงพรายช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอเสด็จมาเมืองสรวง เมื่อพระลอต้องเสน่ห์ได้ตรัสลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และนางลักษณวดีมเหสี เสด็จไปเมืองสรองพร้อมกับนายแก้งนางขวัญพระพี่เลี้ยงพระลอทรงเสี่ยวน้ำที่แม่น้ำกาหลง ถึงแม้จะปรากฏรางร้ายก็ทรงผืนพระทัยเสด็จต่อไป ไก่ผีของปูเจ้าสมิงพรายล่อพระลอกับนายขวัญและนายแก้วไปจนถึงสวนหลวง นางรื่นนางโรยออกอุบายลอบนำพระลอกับนายแก้วและนายขวัญไปไว้ในตำหนักของพระเพื่อนพระแพง ท้าวพิชัยพิษณุกรทรงทราบเรื่องก็ทรงพระเมตตารับสั่งจะจัดการอภิเษกพระลอกับพระเพื่อนและพระแพงให้ แต่พระเจ้าย่าเลี้ยงของพระเพื่อนพระแพงยังทรงพยาบาลพระลอ อ้างรับสั่งท้าวพิชัยพิษณุกรตรัสสั่งใช้ให้ทหารไปรุมจับพระลอ พระเพื่อนพระอพงและพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ช่วยกันต่อสู้จนสิ้นชีวิตทั้งหมดท้าวพิชัยพิษณุกรทรงพระพิโรธพระเจ้าย่าและทหาร รับสั่งให้ประหารชีวิตทุกคน พระนางบุญเหลือทรงส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์สาม ในที่สุดเมืองสรวงและเมืองสรองกัลเป็นไมตรีต่อกัน
๕.โคลงกำสรวล
ผู้แต่ง ศรีปราชญ์
 ทำนองแต่ง แต่งด้วยโคลงตั้งบาทกุญชร บทแรกเป็นร่ายดั้น มีร่าย ๑ บท โคลงดั้น ๑๒๙ บท
ความมุ่งหมาย เพื่อแสดงความอาลัยคนรัก ซึ่งผู้แต่งต้องจากไป
เรื่องย่อ เริ่มด้วยร่ายสดุดีกรุงศรีอยุธยาว่ารุ่งเรืองงดงาม เป็นศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนา ราษฎร์สมบูรณ์พูนสุข ต่อจากนั้นกล่าวถึงการที่ต้องจากนาง แสดงความห่วงใย ไม่แน่ใจว่าควรจะฝากนางไว้กับผู้ใดเดินทางผ่านตำบลหนึ่ง ๆ ก็รำพันเปรียบเทียบชื่อตำบลเข้ากับความอาลัยที่มีต่อนาง ตำลบที่ผ่าน เช่น บางกะจะ เกาะเรียน ด่านขนอน บางทรนาง บางขดาน ย่านขวาง ราชคราม ทุ่งพญาเมือง ละเท เชิงราก  นอกจากนี้ได้นำบุคคลในวรรณคดีมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในชีวิตของตน เกิดความทุกข์ระทมที่ยังไม่พบได้นางอีกอย่างบุคคลในวรรณคดีเหล่านั้น โดยกล่าวถึง พระรามกับนางสีดา พระสูตรธนู(สุธนู)กับนางจิราประภา และพระสมุทรโฆษกกับนางพิษทุมดีว่าต่างได้อยู่ร่วมกันอีก ภายหลังที่ต้องจากกันชั่วเวลาหนึ่ง การพรรณนาสถานที่สิ้นสุดลงโดยที่ไม่ถึงนครศรีธรรมราช
๖.โคลงทวาทศมาส
ผู้แต่ง พระเยาวราช ขุนพรมมนตรี ขุนกวีราช ขุนสารประเสริฐ
ประวัติ หนังสือนี้มีการสันนิษฐานผู้แต่งต่างกันไป เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่าผู้แต่ง คือ ขุนศรีกวีราช ขุนพรหมมนตรี และขุนสารประเสริฐ บางท่านว่า พระเยาวราช ทรงนิพนธ์ ที่เหลือช่วยแก้ไข ส่วนพระยาตรังคภูมิบาล และนายนรินทรธิเบศร กล่าวแต่เพียงสามคนร่วมกันแต่ง
ทำนองแต่ง โคลงดั้นวิริธมาลี
ความมุ่งหมาย มีผู้สันนิษฐานว่าคงแต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน มิได้จากนางจริงโดยสมมติเหตุการณ์ขึ้น
เรื่องย่อ โคลงเรื่องนี้ได้ชื่อว่าทวาทศมาส เพราะพรรณนาถึงความรักความอาลัยรัก และพิธีกรรมต่าง ๆ ในรอบสิบเดือน ทวาทศมาสแปลว่าสิบสองเดือน ตอนต้นสรรเสริญเทพเจ้า และพระเจ้าแผ่นดิน ชมความงามของนางที่ต้องจากมา กล่าวถึงบุคคลในวรรณคดี เช่น พระอนิรุทธ์ พระสมุทรโฆษ พระสุธนู พระสูตรธนู แล้วแสดงความน้อยใจที่ตนไม่อาจไปอยู่ร่วมกับนางอีกอย่างบุคคลเหล่านั้น ตอนต่อไปนำเหตุการณ์ต่าง ๆ และลมฟ้าอากาศในรอบปีหนึ่งๆ ตั้งแต่เดือน ๕ ถึง เดือน ๔ มาพรรณนา เดือนใดมีพิธีอะไรก็นำมากล่าวไว้ละเอียดละออ เช่น เดือนสิบเอ็ดมีพิธีอาศวยุช เดือนสิบสองมีพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป เดือนยี่ประกอบพิธีตรียัมปวาย และเดือนสี่กระทำพิธีตรุษ เป็นต้น ต่อจากนั้นถามข่าวคราวของนางจาก ปี เดือน วัน และยาม ขอพระเทพเจ้าให้ได้พบนาง ตอนสุดท้ายกล่าวสรรเสริญพระบารมีพระเจ้าแผ่นดิน
๗.โคลงหริภุญชัย
ผู้แต่ง สันนิษฐานทีผู้แต่งคนหนึ่ง อาจชื่อทิพแต่งไว้เป็นภาษาไทยเหนือ ต่อมามีผู้ถอดออกมาเป็นภาษาไทยกลางอีกตอนหนึ่ง
ประวัติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ว่าอาจเป็นประมาน พ.ศ.๒๑๘๐หรือก่อนหน้านั้นขึ้นไป ซึ่งเป็นระยะที่พระพุทธสิหิงค์ยังประดิษฐานอยู่ที่เชียงใหม่ราวศักราชสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และกวีทางใต้คงนำมาดัดแปลงราวศักราชสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ศาสตราจารย์ ประเสริฐ ณ นคร ได้ศึกษาโคลงเรื่องนี้โดยเทียบกับต้นฉบับภาษาไทยเหนือที่เชียงใหม่และลงความว่าจะแต่งขึ้นในสมัย พ.ศ.๒๐๖๐ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเวลาที่พระแก้วมรกตยังอยู่ที่เจดีย์เชียงใหม่ เนื่องจากนิราศเรื่องกล่าวถึงพระแก้วมรกตไว้ด้วย
ทำนองแต่ง เดิมแต่งไว้เป็นโคลงไทยเหนือ ต่อมามีผู้ถอดเป็นโคลงสุภาพ
ความมุ่งหมาย ผู้แต่งมีความมุ่งหมายเพื่อบรรยายความรู้สึกที่ต้องจากหญิงรักไปนมัสการพระธาตุหริภุญชัย
เรื่องย่อ เริ่มบทบูชาพระรัตนตรัย บอกวันเวลาที่แต่ง แล้วกล่าวถึงการที่ต้องจากนางที่เชียงใหม่ไปบูชาพระธาตุหริภุญชัยที่เมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ก่อนออกเดินทางได้นมัสการลาพระพุทธสิหิงค์ ขอพรพระมังราชหรือพระมังรายซึ่งสถิต ณ ศาลเทพารักษ์ นมัสการลาพระแก้วมรกต เมื่อเดินทางพบสิ่งใดหรือตำบลใดก็พรรณนาคร่ำครวญรำพันรักไปตลอดทางจนถึงเมืองหริภุญชัย ได้นมัสการพระธาตุสมความตั้งใจ บรรยายพระธาตุ งานสมโภชพระธาตุ ตอนสุดท้ายลาพระธาตุกลับเชียงใหม่ 
วรรณคดีที่ปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง สมัยนี้เป็นยุคทองของวรรณกรรมและวรรณคดีไทยยุคที่ ๑ มีอยู่ ๑๗ เรื่อง คือ               
๑.กาพย์มหาชาติ (พัฒนาจากมหาชาติคำหลวง)               
ประพันธ์โดย พระเจ้าทรงธรรม               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทร่าย                  
เพื่อสวดให้ประชาชนฟัง               
๒.พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ
ประพันธ์โดย พระโหราธิบดี               
ใช้คำประพันธ์ร้อยแก้ว               
เพื่อบันทึกเหตุการณ์สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น  ตามพระราชโองการของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช               
๓.จินดามณี เล่มที่ ๑ (แบบเรียนภาษาไทยฉบับแรก)
ประพันธ์โดย พระโหราธิบดี               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรอง ประเภทต่างๆ เช่น ฉันท์ ร่าย เป็นต้น              
เพื่อเป็นตำราเรียนฉันทลักษณ์               
๔.สมุทรโฆษคำฉันท์ (ตอนต้นและตอนกลาง)
ประพันธ์โดยพระมหาราชครู  สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส               
ใช้คำประพันธ์ร้อยกรอง  ประเภทคำฉันท์ (มีกาพย์ด้วย)               
เพื่อใช้เล่นหนังใหญ่               
๕.โคลงสุภาษิต ๓ เรื่อง คือ โคลงท้าวทศรถสอนพระราม  โคลงพาลีสอนน้องและโคลงราชสวัสดิ์ ๖๓ โคลง              
พระนิพนธ์ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภท โคลงสี่สุภาพ               
โคลงทศรถสอนพระราม เพื่อสั่งสอนกษัตริย์ผู้ปกครองประเทศ
โคลงพาลีสอนน้อง เพื่อสั่งสอนข้าราชการ
โคลงราชสวัสดิ์ เพื่อสั่งสอนข้าราชการในรายละเอียดกว่าเรื่องพาลีสอนน้อง               
๖.เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา               
พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระนารายณ์มหาราช               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนเพลงยาว               
เพื่อทำนายอนาคตของกรุงศรีอยุธยา               
๗.โคลงกวีโบราณ จำนวน ๒๕ บท (ต้นฉบับสูญหาย)              
กวีต่างๆ ในสมัยสมเด็พระนารายณ์ เช่น พระเทวี  พระเจ้าลานช้าง พระเยาวราช               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรอง มีโคลงประเภทต่างๆ เช่น โคลงกระทู้ ชนิดต่างๆ               
เพื่อแสดงฝีปากการแต่งโคลงโบราณ              
๘.เสือโคคำฉันท์               
ประพันธ์โดย พระมหาราชครู               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทฉันท์               
เพื่อทดลองใช้ฉันท์แต่งเรื่องนิทาน               
๙.โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช              
ประพันธ์โดย พระศรีมโหสถ              
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ             
เพื่อยอพระเกียรติพระนารายณ์มหาราช               
๑๐.กาพย์ห่อโคลงพระศรีมโหสถ               
ประพันธ์โดย พระศรีมโหสถ               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกาพย์ห่อโคลง               
เพื่อบันทึกความเป็นอยู่ของชาวกรุงศรีอยุธยา  ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
๑๑.โคลงนิราศนครสวรรค์               
ประพันธ์โดย พระศรีมโหสถ               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทร่ายสุภาพ ๑ บท และโคลงสี่สุภาพ ๖๙ บท              
เพื่อบันทึกการเดินทาง              
๑๒.โคลงอักษรสามหมู่               
ประพันธ์โดย พระศรีมโหสถ               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพที่เป็นกลโคลง มีชื่อว่า ตรีพิธประดับ (ตรีเพชรประดับ)               
เพื่อแสดงแบบการแต่งกลโคลง              
๑๓.คำฉันท์ดุษฏีสังเวยกล่อมช้าง               
ประพันธ์โดย ขุนเทพกระวี               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทคำฉันท์               
เพื่อกล่อมช้างเผือกที่ได้มาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช             
  ๑๔.โคลงกำสรวลศรีปราชญ์             
  แต่งโดย ศรีปราชญ์               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรอง ประเภทโคลงสี่สุภาพ               
เพื่อแสดงปฏิภาณของผู้แต่ง
๑๕.อนิรุทธ์คำฉันท์
ประพันธ์โดย ศรีปราชญ์
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทฉันท์
เพื่อแต่งนิทานที่มีที่มาจากคัมภีร์วิษณุปุราณะ
๑๖.โคลงนิราศหริภุญชัย
ไม่ปรากฏหลักฐานผู้แต่ง               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ (เดิมเป็นโคลงลาวก่อน)เพื่อบันทึกการเดินทาง
๑๗.โคลงดั้นทวาทศมาส               
ประพันธ์โดย พระเยาวราช และขุนนาง ๓ คน               
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทโคลงดั้นวิวิธมาลี  มีร่ายสุภาพท้าย ๑ บท
วรรณคดีที่ปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีอยู่ดังนี้
๑.โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์
พระนิพนธ์ใน พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ใช้คำประพันธ์ร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ
เพื่อบันทึกเรื่องราว
๒.โคลงนิราศเจ้าฟ้าอภัย
ประพันธ์โดย เจ้าฟ้าอภัย
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ มีเพียง ๒๕ บท
เพื่อพรรณนาความรู้สึกที่ต้องจากนางที่รัก และบันทึกการเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปลพบุรี
๓.นันโทปนันทสูตรคำหลวง
ประพันธ์โดย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทร่ายยาว
เพื่อสอนศาสนาพุทธ
๔.พระมาลัยคำหลวง
ประพันธ์โดย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทร่าย มีโคลงสี่สุภาพในตอนท้าย
เพื่อสอนศาสนาพุทธและเมื่อพบพระศรีอาริยเมตไตรย
๕.กาพย์เห่เรือ  กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก  กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงประพันธ์โดย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกาพย์ห่อโคลง ยกเว้นกาพย์เห่เรือใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกาพย์
เห่เรือกาพย์เห่เรือ เพื่อใช้เห่เรือในการเสด็จประพาสพระพุทธบาท ของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก เพื่อพรรณนาถึงนางในนิราศ
กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง เพื่อพรรณนาธรรมชาติในการเดินทางจากอยุธยา ไปยังพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี
 ๖.เพลงยาวเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
ประพันธ์โดย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนเพลง
เพื่อแสดงความรัก แสดงโวหารต่างๆ
๗.บทละครเรื่องดาหลังและอิเหนา (อิเหนาใหญ่และอิเหนาเล็ก)
อิเหนาใหญ่ (ดาหลัง) เจ้าฟ้าหญิงกุณฑล
อิเหนาเล็ก    เจ้าฟ้าหญิงมงกุฎ
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนบทละคร
เพื่อใช้เล่นละคร
 ๘.ปุณโณวาทคำฉันท์
ประพันธ์โดย พระมหานาค วัดท่าทราย
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทคำฉันท์
เพื่อบันทึกการสมโภชพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี
๙.โคลงนิราศพระพุทธบาท
ประพันธ์โดย พระมหานาค วัดท่าทราย
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ
เพื่อบันทึกการเดินทาง
๑๐.กลบทศิริบุลกิตติ
ประพันธ์โดย หลวงศรีปรีชา (เซ่ง)
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนกลบท (๘๖ ชนิด)
เพื่อเล่านิทานชาดก และเพื่อเป็นอานิสงส์ให้สำเร็จเป็นพะรอรหันต์
  
ลักษณะทั่วไปของวรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
      เมื่อบ้านเมืองรุ่งเรืองและสงบสุขอีกครั้ง กิจการด้านศิลปวัฒนธรรมก็ย่อยเจริญรุ่งเรืองตามด้วย วรรณกรรมและวรรณคดีจำนวนมากได้รีบการฟื้นฟู ซึ่งที่จริงก็ได้มีการฟื้นฟูมาบ้างแล้วในสมัยกรุงธนบุรี ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ได้รับการฟื้นฟูต่อไปอีก เพราะทรงเห็นว่าพระนครที่สร้างขึ้นใหม่จะขาดสิ่งสำคัญคือวรรณกรรมและวรรณคดีไม่ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสช่วยกันสร้างสรรค์งานวรรณกรรมอย่างรีบด่วน ใครถนัดด้านใดก็ให้ขวนขวายทำทางนั้น
         ที่มาของรูปแบบ เนื้อหา แนวคิด อุดมคติ และจุดมุ่งหมายของวรรณกรรมและวรรณคดีไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีส่วนสืบเนื่องและมีที่มาสำคัญจากวรรณกรรมและวรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยา ผลงานจำนวนมากปรากฏแบบแผนและวิธีการทุกประเภทเด่นชัดตามแบบอย่างกรุงศรีอยุธยา ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้
วรรณคดีไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑
๑.พระไตรปิฎก ฉบับสังคายนา
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหมาราช
๒.กฎหมายตราสามดวง
กวีในสมัยรัชกาลที่ ๑ รวบรวมตามพระราชโองการ
ใช้คำประพันธ์ ร้อยแก้ว
เพื่อเป็นกฎหมายสำหรับบ้านเมือง
๓.บทละครรำเรื่อง รามเกียรติ์ อุณรุท ดาหลัง และอิเหนาในรัชกาลที่ ๑ รบพม่าที่เมืองนครศรีธรรมราช
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหมาราช
ใช้คำประเภทร้อยกรองประเภทกลอนบทละคร
รามเกียรติ์ เพื่อรวบรวมเรื่องรามเกียรติ์และเพื่อเฉลิมพระนคร
อุณรุทเพื่อฟื้นฟูวรรณคดีและนาฏศิลป์
ดาหลังเพื่อแต่งวรรณคดีที่สูญหายไป
อิเหนาเพื่อซ่อมแซ่มเรื่องเดิม
๔.กลอนนิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนเพลงยาว
เพื่อบันทึกเรื่องราวการเดินทาง
๕.เพลงยาวนิราศรบพม่าที่นครศรีธรรมราช
ประพันธ์โดย กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทเพลงยาว
เพื่อบันทึกการเดินทาง
๖.ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดร กัณฑ์กุมาร กัณมัทรี และกัณฑ์มหาพน
ประพันธ์โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทร่ายยาว
เพื่อซ่อมแซ่มวรรณคดีเก่า
๗.กากีคำกลอน
ประพันธ์โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทเพลงยาว
เพื่อขับร้องในการบรรเลงมโหรี
๘โคลงพยุหยาตราเพชรพวง ลิลิตเพชรมงกุฎ และ
ประพันธ์โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
โคลงพยุหยาตราเพชรพวง ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทสี่สุภาพ
โคลงพยุหยาตราเพชรพวง ลิลิตพระศรีวิชัยชาดกใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทลิลิต
โคลงพยุหยาตราเพชรพวง เพื่อบันทึกภาพกระบวนพยุหยาตราไปนมัสการพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี
ลิลิตพระศรีวิชัยชาดก เพื่อ เล่านิทานชาดก
๙.สมบัติอมรินทร์คำกลอน
ประพันธ์โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนเพลงยาว
เพื่อเล่านิทานเรื่องพระอินทร์
๑๐.ร่ายและกลอนจารึกเรื่องสร้างภูเขาทองวัดราชคฤห์
ประพันธ์โดย เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทกลอนและร่าย
เพื่อบันทึกเรื่อง
๑๑.นิพพานวังหน้า
ประพันธ์โดย พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร
ใช้คำประพันธ์ ร้อยกรองประเภทต่างๆ เช่น ร่าย โคลง กาพย์ และกลอนเพลงยาว
เพื่อพรรณนาถึงกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบิดา
๑๒.นิราศตลาดเกรียบ
ประพันธ์โดย พระเทพโมลี (กลิ่น)
ใช้คำประพันธ์ ร้องกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ
เพื่อบันทึกการเดินทาง
๑๓.เรื่องแปล ได้แก่ สามก๊ก ไซฮั่น และราชาธิราช
สามก๊ก เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ไซฮั่น กรมพระราชวังหลัง เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์
ราชาธิราช เจ้าพระยาพระคลัง (หน) และขุนนางอีก ๓ คน
ใช้คำประพันธ์ ร้อยแก้ว
เพื่อเล่านิทาน
๑๔.ไตรภูมิโลกวินิจฉัย
ประพันธ์โดย พระยาธรรมปรีชา (แก้ว)
ใช้คำประพันธ์ ร้อยแก้ว
เพื่อแทนไตรภูมิพระร่วง ให้ความรู้เกี่ยวกับโลกที่ ๓

มัทนะพาธา
มัทนะพาธา เป็นบทละครพูดคำฉันท์ 5 องก์ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นทั้งหมดด้วยพระองค์เองโดยไม่ได้อิงเนื้อหามาจากที่อื่น ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งเริ่มและจบลงในปี พ.ศ. 2466 เล่าเรื่องว่าด้วยตำนานเกี่ยวกับดอกกุหลาบ และความเจ็บปวดจากความรัก
มัทนะพาธา เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในด้านเป็นยอดบทละครพูดคำฉันท์[1] และยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ประเภทบันเทิงคดี[2]อีกด้วย
ชื่อมัทนะพาธา
"มัทนพาธา" มาจากคำสันสกฤต "มทนพาธา" ที่มีความหมายคือความเจ็บหรือเดือนร้อนจากความรัก ซึ่งชื่อนี้ก็ได้พ้องกับชื่อของนางเอก "มัทนา" ซึ่งมีความหมายว่าความลุ่มหลงหรือความรัก
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องแบ่งเป็นสองภาค คือภาคสวรรค์ และภาคพื้นดิน
ภาคสวรรค์ - กล่าวถึงสุเทษณ์เทพบุตร ซึ่งในอดีตชาตินั้นคือกษัตริย์แคว้นปัญจาล และนางมัทนา ซึ่งในอดีตชาติเป็นราชธิดาในกษัตริย์แคว้นสุราษฎร์ ซึ่งทั้งคู่ได้มาเกิดใหม่บนสวรรค์ สุเทษณ์เทพบุตรใฝ่ปองรักนางฟ้ามัทนา แต่ก็ไม่อาจจะสมรักด้วยกรรมที่เคยทำมาแต่อดีต ทำให้ไร้ซึ่งความสุขอย่างยิ่ง สุเทษณ์เทพบุตร จึงได้ให้วิทยาธรนามว่า "มายาวิน" ใช้เวทมนตร์คาถาไปสะกดเอานางมัทนาเข้ามาหา ก่อนที่มายาวินจะใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนา ได้ทูลสุเทษณ์เทพบุตรว่า การที่พระองค์ไม่อาจจะสมรักกับมัทนาได้ เป็นเพราะเมื่อชาติปางก่อน เมื่อพระองค์เป็นกษัตริย์แคว้นปัญจาลนั้น พระองค์ได้ไปสู่ขอมัทนาจากกษัตริย์แคว้นสุราษฎร์ผู้เป็นพระราชบิดา แต่ท้าวสุราษฎร์ไม่ให้ จึงเกิดรบกันขึ้น ในที่สุดท้าวสุเทษณ์แห่งแคว้นปัญจาลก็ชนะ จับท้าวสุราษฎร์เป็นเชลย และจะประหารชีวิตเสีย แต่นางมัทนาเข้ามาขอชีวิตพระราชบิดาไว้ และยอมเป็นบาทบริจาริกา ก่อนที่นางจะใช้พระขรรค์ปลงพระชนม์ตนเอง เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว นางมัทนาก็ไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ ส่วนท้าวสุเทษณ์ก็ได้ทำพลีกรรมบำเพ็ญจนได้มาเกิดบนสวรรค์เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ดี สุเทษณ์เทพบุตร ก็ยังยืนยันจะให้มายาวินลองวิชาดูก่อน มายาวินจึงเรียกเอามัทนามาด้วยวิชาอาคม เมื่อมัทนามาแล้ว ด้วยมนต์ที่ผูกไว้ ทำให้ไม่ว่าสุเทษณ์เทพบุตรจะถามอย่างไร มัทนาก็ตอบตามเป็นคำถามย้อนไปอย่างนั้น เหมือนไม่มีสติ สุเทษณ์เทพบุตรขัดใจนักก็ให้มายาวินคลายมนต์ ครั้นมนต์คลายแล้ว มัทนาก็ตกใจที่ตนล่วงเข้ามาในวิมานของสุเทษณ์เทพบุตรโดยไม่รู้ตัว สุเทษณ์เทพบุตรพยายามจะฝากรักมัทนา แต่มัทนามิรักตอบ จะอย่างไรๆก็ไม่ยอมรับรัก จนสุเทษณ์เทพบุตรกริ้วจัด สาปส่งให้นางลงไปเกิดเป็น ดอกกุพชกะ คือ ดอกกุหลาบ อยู่ในแดนมนุษย์ และจะกลับคืนเป็นคนได้ก็ต่อเมื่อวันเพ็ญ เพียง 1 วัน 1 คืนเท่านั้น แล้วจะกลับคืนเป็นกุหลาบดังเดิม แต่หากนางได้รักบุรุษใดแล้ว เมื่อนั้นจึงจะคงรูปมนุษย์อยู่ได้ และหากเมื่อใดที่นางมีทุกข์เพราะรัก ก็จงขอประทานโทษมายังพระองค์พระองค์จะยกโทษให้

ภาคพื้นดิน - มัทนาได้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบอยู่ในป่าหิมวัน ในป่านั้นมีพระฤๅษีนามกาละทรรศินพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย พระกาละทรรศินได้เห็นกุหลาบมัทนาก็ชอบใจ สั่งให้ศิษย์ขุดเอากุหลาบมัทนาไปปลูกใหม่ไว้ใกล้อาศรม เมื่อถึงคืนวันเพ็ญ มัทนาก็กลายเป็นร่างมนุษย์มาคอยรับใช้พระกาละทรรศินและศิษย์ทั้งหลาย คอยปรนนิบัติเรื่อยมา พระกาละทรรศินก็รักมัทนาเหมือนลูกตัว
ต่อมาวันหนึ่ง ท้าวชัยเสนผู้ครองนครหัสดิน ได้เสด็จประพาสป่า ผ่านมายังอาศรมพระกาละทรรศิน ประจวบกับเป็นคืนวันเพ็ญ ก็ได้พบกับนางมัทนา ทั้งสองฝ่ายต่างรักกัน พระกาละทรรศินก็จัดพิธีอภิเษกให้ และนางมัทนาก็ได้เดินทางไปกับท้าวชัยเสน เข้าไปยังกรุงหัสดิน โดยไม่ได้กลับเป็นดอกกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนหลงรักนางมัทนามาก จนกระทั่งลืมมเหสีของตนคือนางจัณฑี พระมเหสีจัณฑีหึงหวงนางมัทนา ทั้งอิจฉาริษยาเป็นอันมาก ก็ทำอุบายใส่ร้ายนางมัทนาว่าเป็นชู้กับทหารเอกท้าวชัยเสนนามว่าศุภางค์ และยุยงท้าวมคธพระราชบิดาให้มาตีเมืองหัสดิน ท้าวชัยเสนออกไปรบ ครั้นเมื่อกลับมาได้ข่าวว่ามัทนาลอบเป็นชู้กับศุภางค์ก็กริ้วจัด สั่งประหารมัทนาเสียทันที แต่เพชฌฆาตได้ปล่อยนางหนีไปเพราะความสงสาร ส่วนศุภางค์นั้น ด้วยความจงรักภักดีต่อท้าวชัยเสน ก็ออกสนามรบกับท้าวชัยเสนเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะไพร่ทหารเลว และตายในที่รบ
มัทนาหนีกลับมายังป่าหิมวัน และได้ทำพลีกรรม์บูชาสุเทษณ์เทพบุตร จนสุเทษณ์เทพบุตรเสด็จมา และเอ่ยปากจะช่วยให้คืนสวรรค์ สุเทษณ์เทพบุตรได้ขอความรักจากนางอีก แต่มัทนามิสามารถจะรักใครได้อีกแล้ว และปฏิเสธไป สุเทษณ์เทพบุตรกริ้วนัก จึงสาปนางให้เป็นกุหลาบไปตลอดชีวิต
ฝ่ายท้าวชัยเสน ต่อมาเมื่อรบชนะท้าวมคธ และได้รู้ความจริงทั้งหมด ก็กริ้วพระมเหสีจัณฑีมาก และได้ลงอาญาไป ก่อนจะออกไปตามหามัทนาในป่า แต่สิ่งที่พบ ก็เพียงแต่กุหลาบกอใหม่อันขึ้นอยู่ยังกองกูณฑ์บูชาสุเทษณ์เทพบุตรเท่านั้น ท้าวชัยเสนทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป แต่ด้วยความรักสุดจะรัก จึงนำกุหลาบมัทนากลับไปปลูกใหม่ยังสวนขวัญกรุงหัสดิน



นางในวรรณคดี 


                                                                   
                                                                     นางตะเภาทอง

                                                                       นางไอ่คำ
                                    
                                                              พระเพื่อน พระแพง 
  

นางมโนห์รา


                                                                        นางมัทนา 


                                                                         นางรจนา 
 

                                                                     นางลำหับ 
                                  
                                                                   นางบุษบา 


                                                                นางประทุมวดี